คุณคิดยังไงกับการทำประกันชีวิต กลัวเวลาคนโทรมาชวนทำประกันชีวิตไหม
ความคิดเห็นที่ 1 ดีครับ จำเป็นครับ ไม่กลัวครับ เพราะเข้าใจถึงอาชีพคนขายประกัน และเข้าใจความจำเป็นของการมีประกันครับคนที่ ทำประกันแล้วไม่ชอบประกัน ก็เพราะ1 ตอนทำไม่ศึกษาให้ดี ให้ ตัวแทน ดูแลผลประโยชน์ตัวเองโดยที่ตัวเองไม่สนใจอ่านข้อแม้ที่เค้าจะไม่ประกัน แล้วพอเกิดเหตุที่ไม่เข้าข่ายประกัน ก็โวยวาย เกลียดประกัน 2 คิดโดยที่เอามาตรฐานความน่าจะเป็นของตัวเอง คิดว่าประกันเอาเงินตัวเองไปหมุนเพื่อธุรกิจส่วนตัว หรือมองว่าตัวเองทำไมต้องเอาเงินไปให้คนอื่นไปเก็บไปใช้ แต่ไม่มองว่า ฝากเงินกับธนาคาร ก็เป็นการเอาเงินให้เค้าไปหมุนทำธุรกิจเหมือนกัน 3 ไม่สนใจที่จะดูแลกรมธรรม์ของตัวเอง อย่างการส่งเบี้ย ด้วยตัวเองได้ ไม่ทำ 4 ไม่มีเงินทำ เลยพาลว่าไม่จำเป็น บริษัทมันเอาเปรียบ คนที่ชอบประกัน ก็เพราะ 2 ใกล้ตาย เป้นโรคร้าย แต่ทำประกันไม่ได้ ถ้าย้อนกลับไปคงทำ 3 คนใกล้ตัวตายก่อนวัยอันควร จึงเห็นถึงความไม่แน่นอน 4 มีเงินเยอะ เพราะ บ้านรวย จึงต้องการลดหย่อนภาษี เลยหาทำประกันไว้เยอะๆ จะเห็นได้ว่า คนรวยทุกคน มักทำประกัน ปล. คาดว่า จขกท คงจะเป็น ตัวแทนประกัน มือใหม่ อยากรู้ความต้องการของคนส่วนใหญ่เป็นแน่ จากคุณ : karamale |
ความคิดเห็นที่2 Agree with #1 จากคุณ : คนบ้านฉาง |
ความคิดเห็นที่ 3
ผมคิดว่าผมไม่สนใจทำประกันครับ เพราะว่าดอกเบี้ยให้น้อย แถมต้องส่งเบี้ยเป็นระยะเวลานานๆ 15-20 ปีขึ้นไป ถอนคืนก่อนก็ขาดทุน เสียเปรียบเห็นๆ เกิดตกงานไม่มีเงินส่งประกัน หรือมีเหตุจำเป็นขัดข้องด้านการเงินขึ้นมาก็ยุ่งอะสิครับ ถ้าเป็นผม ผมเอาเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ดีกว่า ดอกเบี้ยร้อยละ 4 สามเดือนให้ดอกเบี้ยทีนึงไม่ต้องเสียภาษีด้วย และถ้าไม่ถอนดอกเบี้ยออกมาก็ทบต้นให้เรื่อยๆทุก 3 เดือน ให้ผมประโยชน์ดีกว่าประกันเยอะครับ ถ้าต้องการลดหย่อนภาษีผมไปซื้อหน่วยลงทุน LTF/RMF ดีกว่ามาซื้อประกัน ประกันจะจำเป็นก็สำหรับคนที่เก็บเงินก้อนไม่เป็นหรือพวกไม่รู้จักการออมเพื่อวันข้างหน้า ประมาณว่ามีเงินเท่าไหร่ใช้หมดไม่เหลือ อะไรทำนองนี้ แต่ถ้าคนมีเงินเก็บอยู่แล้วเป็นแสนเป็นล้าน หากเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็สามารถใช้เงินเก็บของตัวเองได้ ถ้าบริหารจัดการเงินดีๆ ไม่ต้องพึ่งบริษัทประกันเลยครับ เพราะบริษัทประกันชอบหาเรื่องจ่ายให้น้อยๆ สมมุติว่าเกิดเจ็บป่วยแล้วอยากนอนห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่สามารถเบิกได้เต็มจำนวน แบบว่าชอบให้เรารักษาพยาบาลแบบชนชั้น 2 อะไรแบบนี้อะคับ ที่เกินก็ต้องจ่ายเอง (แบบนี้จะทำไปเพื่ออะไรเนี่ย) สำหรับผมไม่สนใจและคิดว่าเป็นสิ่งไร้สาระครับที่อยู่ดีๆต้องเอาเงินเก็บของเราไปให้บริษัทประกันเป็นหมื่นๆต่อปีโดยที่ไม่ได้คุ้มค่าอะไรเลย และมีเงื่อนไขเยอะแยะครับ เช่นสมมุติว่าเกิดอุบัติเหตุรถชน แล้วพบว่ามีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด บริษัทประกันก็หาเรื่องไม่จ่ายแล้ว หรือว่าสมมุติทำไปประกันไปไม่ถึง 6 เดือน แล้วเกิดเป็นโรคร้ายขึ้นมา บริษัทประกันก็หาเรื่องไม่จ่ายอีก หรือถ้าสมมุติอายุสัก 70 อยากทำประกันบริษัทก็ไม่รับเพราะหาว่าแก่ไป ประมาณว่าจะคุ้มครองให้คนอายุไม่เกิน 60 ปีเท่านั้น พอพ้นจากนี้ก็ทอดทิ้งเสียแล้ว ประมาณว่าคนแก่ๆมีความเสี่ยงสูงๆก็โดนถีบหัวส่งพ้นจากระบบประกัน อะไรทำนองนี้เป็นต้น แล้วจะให้ผมมีความรู้สึกดีๆกับประกันได้ไงละครับแบบนี้ จากคุณ : LimitBreak |
ความคิดเห็นที่ 4 เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 2 ครับ พูดง่ายๆเค้าเอาเงินคุณไปหมุนก่อน ….. จะว่าไปก็พวกจับเสือมือเปล่าอะครับ เอาเงินคุณไป ก็เอาไปลงทุนต่อที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า แล้วเอากำไรส่วนต่างเข้ากระเป๋า ทั้งๆที่เงินที่ใช้ลงทุนไม่ช่ายเงินของเค้าเลยซักกะบาทบางคนอาจมองว่าการทำประกันชีวิตเป็นการซื้อความมั่นคงในอนาคต แต่สำหรับผม ผมมองว่าการนำเงินมาลงทุนในปัจจุบันที่ให้เกิดผลตอบแทนที่ดีกว่าการทำประกัน เป็นการซื้อความมั่นคงในอนาคตให้กับตัวเอง (ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึงบริษัทประกัน)ไขว้คว้าหาโอการ หาความมั่นคง ด้วยตัวเอง ดีที่สุดครับ อย่าฝากอนาคตไว้กับใครก็ไม่รู้จากคุณ : บีบี (Trerak) |
ความคิดเห็นที่ 5
ใช้สำหรับซื้อความเสี่ยง คุ้มครองชีวิต ผมว่ากำไรนะ เพราะว่านอกจากเหมือนจะได้ฝากเงินแล้ว เรายังได้คุ้มครองการเข้าโรงพยาบาลได้อีก ตอนแรกผมก็เฉยๆ แต่เมื่อทำไปสองปี ผมไม่สบายไปนอนโรงบาล บิลค่ารักษาประมาณ 5 หมื่น แต่เบิกได้เกือบหมด จ่ายแค่ พันกว่าบาท เลยคิดว่าคุ้มแล้วที่ทำ เพราะว่าไม่อย่างนั้นต้องเดือดร้อนมากๆเลย จากคุณ : โชคดีที่คุณแม่ทำให้ |
ความคิดเห็นที่ 6 คห3-4ก็นี่ล่ะครับ ที่ผมบอกว่า คนที่ไม่ชอบ ก็เพราะคิดแต่ว่า จะโดนเอาเปรียบและไม่ศึกษาข้อแม้ที่ไม่จ่าย ว่าทำไมถึงไม่จ่าย -ถ้าบริษัทจ่ายให้ กับคนที่ ดื่มแอลกอฮอล์มาแล้วขับรถ คนกลุ่มนี้เสี่ยงอยุ่แล้วครับ -ถ้าจ่ายให้กับคนที่เป็นโรคร้าย ใกล้ตาย พอคนกลุ่มนี้รู้ตัวว่าจะตายแล้วมาทำประกันเพื่อหวังเงิน คนที่ใกล้ตาย ซัก 10 คนมาทำประกัน จ่ายเบี้ยไม่ถึงหมื่น แต่อีก ไม่ถึง6เดือน 10คนนี้ตายหมดบริษัทต้องจ่ายให้ คนละ1แสน 10คน ก็เป็น1ล้าน -อายุ 70 ก็ถือว่า เสี่ยงที่เป็นทุพพลภาพและจะตายด้วยโรคชราอยุ่แล้ว ถ้าคนแก่อายุ 70-80 ทำประกัน 10คน พอถึงอีก1ปี 10คนนี้ ตายด้วยโรคชราหมด บริษัทก็ต้องจ่ายทุกคนถ้ารับทำประกัน เป็นเงินรวมๆกว่า 10เท่าของเบี้ยที่ได้ แบบนี้ บริษัทเอาที่ไหนจ่าย บริษัทประกัน ก็เป็นเหมือนกับ ช่องทางในการระดมเงินจากประชาชนไปให้กับรัฐบาล เพื่อ พัฒนาประเทศ ช่องทางหนึ่งนั่นล่ะครับ เพราะ เบี้ยหลักๆทีได้มาบริษัทจะเอาไปลงทุนกับพันธบัตรรัฐบาล เค้าปลูกฝังให้มีการทำประกันตั้งแต่ ยังเรียนเลย จากคุณ : karamale |
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้ามีเงินเหลือผมจะทำ จากคุณ : Stance |
ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยกับคหที่6 ครับขอเพิ่มเติมครับ ผมคิดว่าประกันชีวิตน่าจะเป็นการสร้างพื้นฐานให้มั่นคงก่อน ที่จะไปลงทุนในสินค้าทางการเงินแบบอื่นๆ ครับ ประกันชีวิตเป็นสินค้าทางการเงินอีกแบบหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนไม่เหมือนแบบไหนอย่างหนึ่งคือให้ความคุ้มครองเรื่องของชีวิตและทุพพลภาพครับ และสวัสดิการต่างๆ เป็นการสะสมทรัพย์เหมาะกับ คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกรายได้ ทุกช่วงชีวิตครับ เป็นระบบที่สอนให้คนรู้จักเก็บเงินครับ ช่วยให้เก็บเงินได้ครับ เป็นการลงทุนที่แทบไม่มีความเสี่ยงเลยผลตอบแทนจึงไม่มาก ประกันชีวิตเ็ป็นดัชนีหนึ่งที่ดูว่าประเทศนั้นเจริญแึค่ไหนครับ อย่างญี่ปุ่นประชาชนของเขาทำประกันกันเกือบ 100% ทำไมเขาเห็นถึงความสำคัญครับ ประชาชนคนญี่ปุ่นเขาลงทุนไม่เป็นหรือครับ ทำไมเขาไม่ลงทุนในสินค้าทางการเงินอย่างอื่นล่ะครับที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มาทำประกันฯกันทำไมผลตอบแทนนิดเดียวเขาคิดอะไรกันอยู่ เศรษฐกิจเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง ชีวิตความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างไรครับ ผมคิดว่าถ้าเราศึกษาระบบประกันฯ กันดีๆ น่าจะเข้าใจอย่างถูกต้องได้ข้อคิดหรือเห็นประโยชน์กันมากว่านี้นะครับ ส่งเบี้ยแบบสั้นๆ ปีเดียวก็มีครับ,ถอนคืนก่อนกำหนดได้กำไรก็มีครับ,ไม่มีเงินส่งก็สามารถกู้มูลค่าเงินสดออกมาจ่ายเบี้ยได้ก่อนครับ เกิดขัดสนไม่มีเงินใช้กู้กธ.ออกมาใช้ก่อนยังได้ดอกเบี้ยก็แสนถูกไม่ถึงบาทต่อเดือนคืนหรือไม่คืนก็ได้ไม่มีคนโทรไปทวงหนี้ให้เสียอารมณ์,ประกัน ผมกลับมองว่าการประกันชีวิตเป็นพื้นฐานที่สอนให้คนเก็บเงินเป็นครับมีน้อยก็เก็บน้อย มีเยอะก็เก็บเยอะครับ คนที่ทำประกันชีวิตส่วนมากเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลครับผมว่าเ้ค้าไม่ได้มองแต่ผลกำไรอย่างเดียวครับ เขามองตั้งแต่จุดเริ่มต้นหรือพื้นฐานจนถึงบั้นปลายชีวิตที่เดียวครับ เคยได้ยินไหมครับว่าคนที่เป็นโรคบางโรคที่มันร้ายแรง เป็นแล้วมีโอกาสหายน้อยมาก หรือใช้ระยะเวลารักษายาวนาน ใช้เงินรักษามากมาย (ส่วนมากชอบเกิดกับคนมีเงินเยอะๆ )เช่นโรคมะเร็งเป็นต้น ใช้ระยะเวลารักษายาวนานครับ ใช้เงินรักษามากมายครับ บางคนเก็บเงินมากตั้งแต่สมัยทำงานหวังว่าวันหนึ่งตอนแก่จะได้มีเงินไว้กิน พออามุมากขึ้นเกิดป่วยเป็นมะเร็งกลับต้องเอาเงินเก็บ หลักของประกันในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็คือ จ่ายให้เหมาะสม จำเป็น และตามเงือนไขค่ารักษาพยาบาลในรพ.มีหลายแผนขึ้นอยู่กับกำลังและความสามารถของลูกค้าถ้าอยากนอนห้อง จากคุณ : ตัวแทนประกันชีวิตอาชีพ ปีที่9 (winnerf14) |
ความคิดเห็นที่ 9 ตอบ คห.6บริษัทประกันตั้งขึ้นก็เพื่อหวังผลกำไร แต่ชอบสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีว่ามันดียังโง้นดียังงี้ ตัวแทนขายประกันก็ชอบมาตื้อให้ซื้ออยู่นั่นแหละ ถ้าใครสนใจจริงๆเขาก็เดินเข้าไปทำเองอยู่แล้วล่ะครับ เพราะงั้นผมถึงไม่ชอบระบบแบบนี้เท่าไหร่ครับ ลัทธิระกันก็ไม่ได้ดีไปกว่าลัทธิขายตรงสักเท่าไหร่เลยจริงไหมครับ ?
เอาเงินของคนหลายๆคนมาหมุน แล้วหาทางลดความเสี่ยงที่ทำยังไงจะสร้างเงื่อนไขฉลาดๆให้ตัวเองจ่ายน้อยที่สุด ถ้าไม่กินเหล้าก่อนขับรถ โอกาสเกิดอุบัติเหตุก็แทบจะเป็น 0 อยู่แล้ว (แบบนี้ทำไมไม่ออกกฏว่าคนที่ดื่มเหล้าทุกคนห้ามทำประกันล่ะ กลัวเสียลูกค้าหน้าโง่ใช่ไหม ?) ถ้าไม่แก่หงำเหงือก โอกาสตายด้วยโรคร้ายก็แทบจะเป็น 0 อีก แบบนี้ไม่ต้องทำแล้วล่ะครับ เพราะอะไรที่มันเสี่ยงๆก็ตั้งกฏให้ตัวเองไม่ต้องจ่ายแบบนี้น่ะ จริงๆบริษัทระดมเงินได้เยอะก็น่าจะเอาจากคนที่ไม่เป็นอะไรเลยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก (คนที่ต้องเคลมมีอยู่นิดเดียว) มาจ่ายให้คนที่เป็นหรือเกิดอุบบัติเหตุไงครับ ประกันเป็นเรื่องของการฝากอนาคตไว้กับใครก็ไม่รู้ เวลาเกิดอะไรขึ้นมาเราจะเบิกได้หรือไม่ก็ไม่รู้ จากคุณ : . (LimitBreak) |
ความคิดเห็นที่ 10
มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แฟนพี่ผมซื้อประกันกับผม และในวันนั้นตอนเย็นไปงานเลี้ยงเพื่อนเขา ซึ่งเพื่อนเขาคนนี้มีเงินเดือนเป็นแสนๆ และกำลังไปทำงานที่ต่างประเทศ หมายความว่าเงินเดือนจะมากขึ้นไปอีก ชายคนนี้ลงทุนทุกอย่าง ทั้งหุ้น ทอง กองทุน และประกันชีวิตทุนเป็นล้านๆ แฟนพี่ผมได้คุยกับเพื่อนอีกสองคนด้วย ซึ่งมีคนนึงสนใจทำ แต่บอกว่าไว้ก่อน เพราะว่าคงไม่เกิดอุบัติเหตุตอนนี้หรอก เพราะเหล้าไม้ดื่มจะเกิดอุบัติเหตุได้ไง(พูดเหมือนความคิดเห็นข้างบนเลย) อีกคนไม่สนใจทำ บอกว่า เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ผลกำไรมากกว่าเยอะ(พูดเหมือนความคิดข้างบนอีกเหมือนกัน) หลังงานเลี้ยงเลิกทั้งสามคนนั่งรถกลับด้วยกัน ประสบอุบัติเหตุโดนรถสิบล้อเมาขับชน ตายคาที่ทั้งสามคนในคืนนั้น สิ่งที่คิดคือ คนข้างหลังได้อะไรจากการจากไปของทั้งสามคน คนที่จะได้ไปต่างประเทศ ลงทุนไว้มากมาย แต่เขาได้สอนคนข้างหลังของเขาไว้หรือเปล่าว่าเล่นหุ้นยังไง เล่นทองยังไง ลงทุนกับกองทุนอย่างไร แต่สิ่งที่ครอบครัวเขาได้ คือ เงินชดเชยหลายล้านจากลูกเขาที่ทำประกันชีวิต ในขณะที่พ่อแม่ของเพื่อนแฟนพี่ผมอีกสองคน คนนึงเป็นลูกคนเดียวพ่อแม่เลยไม่มีอะไรเหลืออีก ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเลี้ยงชีพตัวเองยามแก่ต่อไป ส่วนพ่อแม่ของอีกคนมีลูกสองคน เรียนจบพอดี เลยไม่ลำบากมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ให้อุทาหรณืผมหลายๆอย่างมากเกี่ยวกับประกันชีวิต ผมตัดข่าวเรื่องนี้จากหน้าหนึงหนังสือพิมพ์ และนำไปเล่าให้ลูกค้าประกันผมฟังทุกคน(โดยเฉพาะกับคนที่ชอบบอกว่าไม่ประมาทไม่มีทางเกิดอุบัติเหตุ พวกที่ชอบบอกว่าเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ผลประโยชน์มากกว่านี้เยอะ พวกที่ชอบบอกว่าเอาไว้ทำวันหลังไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดวันนี้หรอก) จากคุณ : best insurance |
ความคิดเห็นที่ 11ผมก็ทำไว้แล้วเมื่อปี 49 ครับ จ่ายปีละ 20000 มากกว่านี้ไม่ไหวจากคุณ : naked eye |
ความคิดเห็นที่ 13
ดีนะครับ แต่ อย่ามาชวนผมขายประกันนะ จากคุณ : afood |
ความคิดเห็นที่ 15
เพิ่ม เติม คห 9 ครับ ลัทธิระกันก็ไม่ได้ดีไปกว่าลัทธิขายตรงสักเท่าไหร่เลยจริงไหมครับ ? — ลัทธิประกันมันไม่ดีตรงไหนครับ ประกัน คนดีๆมีเยอะแยะ ทุกสังคมก็มีไม่ดีบ้างเหมือนกัน ทุกคนมีบทบาทต่างกันครับ ส่วนขายตรง แต่ไม่ได้ว่า แย่ไปซะหมด คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเอง แล้วใช้พื้นฐานความไม่เข้าใจส่วนตัว เป็นมาตรฐานแล้วคิดว่าไม่ดี เพราะ อย่างโน้นอย่างนี้ *** เปรียบง่ายๆกับ งานเซล นี่ล่ะ ทำไมคนตั้งกระทู้ อยากเป็นเซลก็เยอะนักล่ะ เพราะได้ค่าตอบแทนสูงใช่มั้ยครับ ถ้าเซลไม่มีค่าคอม เค้าจะอยากเป็นรึป่าว งานประกัน กับ ขายตรงก็เหมือนกันครับ จากคุณ : karamale |
ความคิดเห็นที่ 16
แทบจะเป็น 0 นะครับ ไม่ได้บอกว่าเป็น 0 (หรืออีกแง่นึงก็คือมีโอกาสเกิดน้อย อุบัติเหตุส่วนใหญ่กว่าครึ่งเกิดจากแอลกอฮอล์ครับ ช่วงสงกรานต์คนไข้อุบัติเหตุเพียบครับส่วนมากกินเหล้ากันเกือบทั้งนั้นแหละ) ผมว่าผมเขียนภาษาไทยเข้าใจง่ายแล้วนะเนี่ย ผมไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ใครจะชอบก็ชอบไป คนที่ชอบส่วนมากก็เป็นคนที่เคยได้รับผลประโยชน์จากประกันหรือไม่ก็ขายประกันอยู่เอง จขกท. ถามความคิดเห็นของแต่ละคน ก็คงต้องมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ผมทำงานมา 9 เดือน เก็บเงินได้ 2 แสนกว่าๆ (เดือนนึงเก็บตังได้ 2 หมื่น) ถ้าออกไปทำเอกชนปีนึงสามารถเหลือเงินเก็บได้ไม่น้อยกว่า 7-8 แสนแน่นอน (แต่ยังอยากใช้ทุนให้ครบ 3 ปีอยู่) ดังนั้นผมเชื่อว่าผมไม่ต้องพึ่งพาประกันหรอกครับ หากผมเป็นอะไรไปตอนอายุสัก 40 ผมเชื่อว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะมีเงินเก็บของผมสัก 5-6 ล้าน ไว้ให้กับทายาทและคนข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกและภรรยา อยู่แล้วครับ ผมวางอนาคตที่มันเป็นไปได้สูงของตัวเอง (ไม่ใช่เพ้อฝัน ผมเชื่อว่าผมจะมีเงินเก็บไม่ต่ำกว่า 5 ล้าน ยามอายุ 40) และพยายามเก็บเงินให้ไปถึงตรงจุดนั้นอยู่ (ถึงเวลาก็คงต้องออกไปทำเอกชน มีเงินเดือนเป็นแสนรออยู่) อีกอย่างนึงผมก็เป็นข้าราชการอยู่ (สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว เป็นหัวหน้าฝ่ายอยู่ด้วย) สามารถเบิกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาประกัน ไม่ต้องสำรองจ่ายด้วย (เบิกได้จ่ายตรง) หรือคนที่ไม่เป็นข้าราชการ เป็นประชาชนทั่วๆไป ก็ใช้สิทธิ UC (บัตรทอง) ในการรักษาพยาบาลได้ครับ ไม่เห็นต้องทำประกันตรงไหนเลย ถ้าเราวางแผนการเงินดีๆ ใช้เงินให้เป็น เก็บเงินให้เป็น เราก็คงฝากอนาคตของตัวเองและครอบครัวไว้ที่มือของเราเอง โดยไม่ต้องยืมจมูกคนอื่น (ประกัน) หายใจไงครับ แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 51 08:37:16 จากคุณ : . (LimitBreak) |
ความคิดเห็นที่ 17
คนส่วนใหญ่คิดว่า จะตายตอนแก่ครับบังเอิญถ้าครอบครัว คนหนึ่ง ต้องการใช้เงิน ซัก เดือนละ 2หมื่นบาท อย่าเดา หรือคิดเองว่า จะตายเมื่อไหร่ อุบัติเหตุเกิดได้ทุกวันครับ **ผมถึงบอกว่า นักธุรกิจ หรือเจ้าของธุรกิจ จะเข้าใจประกันง่ายกว่า กลุ่มอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตกินเงินเดือนไงครับ จากคุณ : karamale – |
ความคิดเห็นที่ 18เมื่อวานดูข่าว เห็น เบ็คแฮม ประกันขา 2 ข้าง 2พันกว่าล้านบาทททท!! โหหห แต่เค้าไม่สามารถ ขี่มอร์ไซ ขี่ม้า ได้นะ เพราะมันอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องปฎิบัติตาม เบ็คแฮมทำเงินปีปีนึงนี่เยอะมาก แต่มันก็ไม่แน่ถ้าเกินวันนึงขาเค้าใช้การไม่ได้ตลอดไป…. จากคุณ : กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ริมระเบียง |
ความคิดเห็นที่ 19คุณ LimitBreak มั่นใจในชีวิตมากเลยนะครับ ว่ามันจะเที่ยง อย่างที่คิด
จากคุณ : 300D |
ความคิดเห็นที่ 20
พอมีเงินเก็บ ถึง5ล้าน แล้วยังจะออกไป ทำงานเอกชน รับเงินเดือนแสนอยู่อีกนี่ล่ะครับ แนวคิด ลูกจ้าง จากคุณ : karamale |
ความคิดเห็นที่ 21
คนที่ตายก่อนอายุ 40 มันจะมีถึง 5 % ของประชากรทั้งหมดไหมล่ะครับ ใช่ครับหลายๆคนอาจจะตายก่อนอายุ 40 ก็ได้ แต่เปอร์เซนต์มันน้อยค่อนข้างเข้าใกล้ 0 ไงครับ แต่ที่แน่ๆคือถ้าเกิดวันไหนคุณตกงานไม่มีเงินจ่ายประกันล่ะก็ อะไรจะเกิดขึ้น (ประกันก็ฮุบเอาไปทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเท่านั้นเอง) โอกาสที่คนๆนึงจะตกงาน กับคนๆนึงจะตายเร็ว คุณว่าโอกาสไหนมันมีมากกว่ากันล่ะครับ แต่ถ้าชอบซื้อประกันนักเดี๋ยวผมแนะนำเพื่อนผมที่ขายประกันให้เอาไหมครับ แล้วก็อย่าปฏิเสธไม่ทำกันล่ะครับ เพื่อนผมเพิ่งสมัครเป็นตัวแทนของ AIA ผมจะเก็บเงินได้ 5 ล้าน ตอนอายุ 40 ก็ต่อเมื่อรีบออกไปทำเอกชนครับ แต่ถ้าอยู่รัฐบาลกว่าจะได้ 5 ล้านคงราวๆอายุ 45-50 แต่ยังไงเงินเก็บหลักนั้นมันไม่ได้ไกลเกินเอื้อมหรอกครับสำหรับฐานเงินเดือนราวๆ 3-5 หมื่นที่รับอยู่ทุกวันๆนี้และยังขึ้นไปได้ตามอายุราชการและตำแหน่งผมมีเป้าหมายในชีวิตและความพอเพียงครับ เงิน 5-10 ล้านมันอาจจะไม่เยอะสำหรับคนรวย แต่ผมเชื่อว่าเงินเก็บเท่านี้สามารถทำให้เราใช้ไปได้ทั้งชีวิตแล้วล่ะครับ เกินกว่านี้คือความไม่พอเพียงแล้ว จากคุณ : . (LimitBreak) |
ความคิดเห็นที่ 22
ที่คนไทยทำประกันกันน้อย ก็เพราะใช้วิธีการศึกษาโดยใช้ประสบการณ์ของคนอื่น ไม่ยอมเสียเวลาลงทุนศึกษาเองเพราะไม่รู้ว่ามันจะจำเป็นต้องรู้คุณ LimitBreak ครับ no heart feeling นะครับ สิ่งที่คุณเข้าใจ นั้นมันผิดครับ ที่ว่าเค้าจะยึดเงินทั้งหมด ผมอยากบอกแค่ว่า คนที่จำเป็นต้องทำประกันคือคนที่มีความรัก รักพ่อ รักแม่ รักเมีย รักลูก และรักตัวเอง ถ้าไม่มีความรักเหล่านี้ ประกันไม่จำเป็นครับ จากคุณ : 300D |
ความคิดเห็นที่ 23ถูกครับประกันไม่ได้ฮุบเงินไปซะหน่อย ประกันแบบอออมทรัพย์ เค้าก็ คืนให้เมื่อถึงกำหนด ประกันแบบตลอดชีพ ยังไงเบี้ยทั้งหมดที่ส่ง ก็ยังน้อยกว่า เงินที่จะได้เมื่อต้องตายไปตอนอายุ 70-80 คุณไปคิดแ่ต่ว่า ทำแล้วจะได้เงินจากประกันนี่ครับ คนตายก่อนอายุ40 มีให้เห็นกันทุกวันนี่ครับ ดุใน นสพ สิ อยู่ สาธารณสุขน่าจะรู้นะครับเรื่องแบบนี้ อุบัติเหต มันเลิกอายุเหรอครับ ประกัน เป็นการประกันความเสี่ยงครับ ถ้าเกิด ถึงจ่าย ไม่เกิดก็ให้คืน ถูกมั้ย จากคุณ : karamale |
ความคิดเห็นที่ 24ถ้าไม่กินเหล้าก่อนขับรถ โอกาสเกิดอุบัติเหตุก็แทบจะเป็น 0 อยู่แล้วคนไม่กินเหล้าเกิดอุบัติเหตุก็เยอะแยะนะคะ
เรื่องตายก่อนอายุ 40 ก็ ไม่ใช่ว่า % น้อยนะคะ ตอนนี้สาเหตุการตายที่มีการเคลมอันดับ 1 มะเร็ง อันดับ 2 โรคหัวใจ อันดับ 3 อุบัติเหตุ ประกันชีวิตถ้ามองเรื่องการลงทุนคงสู้การลงทุนแบบอื่นไม่ได้หรอกค่ะ จากคุณ : GREMLINS |
ขอขอบคุณ เว็บไซต์พันธ์ทิพย์ดอทคอม
http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6540344/B6540344.html
No Comment