คุณคิดยังไงกับการทำประกันชีวิต กลัวเวลาคนโทรมาชวนทำประกันชีวิตไหม

ความคิดเห็นที่ 1 ดีครับ
จำเป็นครับ
ไม่กลัวครับ
เพราะเข้าใจถึงอาชีพคนขายประกัน
และเข้าใจความจำเป็นของการมีประกันครับคนที่ ทำประกันแล้วไม่ชอบประกัน ก็เพราะ1 ตอนทำไม่ศึกษาให้ดี ให้ ตัวแทน ดูแลผลประโยชน์ตัวเองโดยที่ตัวเองไม่สนใจอ่านข้อแม้ที่เค้าจะไม่ประกัน
แล้วพอเกิดเหตุที่ไม่เข้าข่ายประกัน ก็โวยวาย เกลียดประกัน

2 คิดโดยที่เอามาตรฐานความน่าจะเป็นของตัวเอง คิดว่าประกันเอาเงินตัวเองไปหมุนเพื่อธุรกิจส่วนตัว หรือมองว่าตัวเองทำไมต้องเอาเงินไปให้คนอื่นไปเก็บไปใช้ แต่ไม่มองว่า ฝากเงินกับธนาคาร ก็เป็นการเอาเงินให้เค้าไปหมุนทำธุรกิจเหมือนกัน

3 ไม่สนใจที่จะดูแลกรมธรรม์ของตัวเอง อย่างการส่งเบี้ย ด้วยตัวเองได้ ไม่ทำ
แต่คิดจะให้ตัวแทนมารับเงินไป
สุดท้ายก็ ไปเจอตัวแทนไม่ดี ยักยอกเงินไม่ส่งเข้าบริษัท แล้วก็พาลเกลียด บริษัทประกันนั้นๆ ทั้งๆที่จริง เป็นเพราะคนไม่ดีต่างหาก ไม่ได้เกี่ยวกับบริษัท

4 ไม่มีเงินทำ เลยพาลว่าไม่จำเป็น บริษัทมันเอาเปรียบ

คนที่ชอบประกัน ก็เพราะ
1 เจออุบัติเหตุ จริง หรือเจ็บป่วยกระทันหันแล้ว ไม่มีประกัน จึงเห็นความสำคัญของประกัน
เพราะ รพ จะให้สิทธิ ยา และเอาใจใส่ ดีกว่าคนที่ไม่ทำประกัน

2 ใกล้ตาย เป้นโรคร้าย แต่ทำประกันไม่ได้ ถ้าย้อนกลับไปคงทำ

3 คนใกล้ตัวตายก่อนวัยอันควร จึงเห็นถึงความไม่แน่นอน

4 มีเงินเยอะ เพราะ บ้านรวย จึงต้องการลดหย่อนภาษี เลยหาทำประกันไว้เยอะๆ จะเห็นได้ว่า คนรวยทุกคน มักทำประกัน

ปล. คาดว่า จขกท คงจะเป็น ตัวแทนประกัน มือใหม่ อยากรู้ความต้องการของคนส่วนใหญ่เป็นแน่

จากคุณ : karamale

ความคิดเห็นที่2
Agree with #1 จากคุณ : คนบ้านฉาง
ความคิดเห็นที่ 3

ผมคิดว่าผมไม่สนใจทำประกันครับ เพราะว่าดอกเบี้ยให้น้อย แถมต้องส่งเบี้ยเป็นระยะเวลานานๆ 15-20 ปีขึ้นไป ถอนคืนก่อนก็ขาดทุน เสียเปรียบเห็นๆ เกิดตกงานไม่มีเงินส่งประกัน หรือมีเหตุจำเป็นขัดข้องด้านการเงินขึ้นมาก็ยุ่งอะสิครับ ถ้าเป็นผม ผมเอาเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ดีกว่า ดอกเบี้ยร้อยละ 4 สามเดือนให้ดอกเบี้ยทีนึงไม่ต้องเสียภาษีด้วย และถ้าไม่ถอนดอกเบี้ยออกมาก็ทบต้นให้เรื่อยๆทุก 3 เดือน ให้ผมประโยชน์ดีกว่าประกันเยอะครับ ถ้าต้องการลดหย่อนภาษีผมไปซื้อหน่วยลงทุน LTF/RMF ดีกว่ามาซื้อประกัน

ประกันจะจำเป็นก็สำหรับคนที่เก็บเงินก้อนไม่เป็นหรือพวกไม่รู้จักการออมเพื่อวันข้างหน้า ประมาณว่ามีเงินเท่าไหร่ใช้หมดไม่เหลือ อะไรทำนองนี้ แต่ถ้าคนมีเงินเก็บอยู่แล้วเป็นแสนเป็นล้าน หากเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาก็สามารถใช้เงินเก็บของตัวเองได้ ถ้าบริหารจัดการเงินดีๆ ไม่ต้องพึ่งบริษัทประกันเลยครับ เพราะบริษัทประกันชอบหาเรื่องจ่ายให้น้อยๆ สมมุติว่าเกิดเจ็บป่วยแล้วอยากนอนห้องพิเศษของโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่สามารถเบิกได้เต็มจำนวน แบบว่าชอบให้เรารักษาพยาบาลแบบชนชั้น 2 อะไรแบบนี้อะคับ ที่เกินก็ต้องจ่ายเอง (แบบนี้จะทำไปเพื่ออะไรเนี่ย)

สำหรับผมไม่สนใจและคิดว่าเป็นสิ่งไร้สาระครับที่อยู่ดีๆต้องเอาเงินเก็บของเราไปให้บริษัทประกันเป็นหมื่นๆต่อปีโดยที่ไม่ได้คุ้มค่าอะไรเลย

และมีเงื่อนไขเยอะแยะครับ เช่นสมมุติว่าเกิดอุบัติเหตุรถชน แล้วพบว่ามีแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด บริษัทประกันก็หาเรื่องไม่จ่ายแล้ว หรือว่าสมมุติทำไปประกันไปไม่ถึง 6 เดือน แล้วเกิดเป็นโรคร้ายขึ้นมา บริษัทประกันก็หาเรื่องไม่จ่ายอีก หรือถ้าสมมุติอายุสัก 70 อยากทำประกันบริษัทก็ไม่รับเพราะหาว่าแก่ไป ประมาณว่าจะคุ้มครองให้คนอายุไม่เกิน 60 ปีเท่านั้น พอพ้นจากนี้ก็ทอดทิ้งเสียแล้ว ประมาณว่าคนแก่ๆมีความเสี่ยงสูงๆก็โดนถีบหัวส่งพ้นจากระบบประกัน อะไรทำนองนี้เป็นต้น แล้วจะให้ผมมีความรู้สึกดีๆกับประกันได้ไงละครับแบบนี้

จากคุณ : LimitBreak

ความคิดเห็นที่ 4
เห็นด้วยกับความคิดเห็นที่ 2 ครับ
พูดง่ายๆเค้าเอาเงินคุณไปหมุนก่อน ….. จะว่าไปก็พวกจับเสือมือเปล่าอะครับ เอาเงินคุณไป ก็เอาไปลงทุนต่อที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่า แล้วเอากำไรส่วนต่างเข้ากระเป๋า ทั้งๆที่เงินที่ใช้ลงทุนไม่ช่ายเงินของเค้าเลยซักกะบาทบางคนอาจมองว่าการทำประกันชีวิตเป็นการซื้อความมั่นคงในอนาคต แต่สำหรับผม ผมมองว่าการนำเงินมาลงทุนในปัจจุบันที่ให้เกิดผลตอบแทนที่ดีกว่าการทำประกัน เป็นการซื้อความมั่นคงในอนาคตให้กับตัวเอง (ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึงบริษัทประกัน)ไขว้คว้าหาโอการ หาความมั่นคง ด้วยตัวเอง ดีที่สุดครับ อย่าฝากอนาคตไว้กับใครก็ไม่รู้จากคุณ : บีบี (Trerak)
ความคิดเห็นที่ 5

ใช้สำหรับซื้อความเสี่ยง คุ้มครองชีวิต ผมว่ากำไรนะ เพราะว่านอกจากเหมือนจะได้ฝากเงินแล้ว เรายังได้คุ้มครองการเข้าโรงพยาบาลได้อีก

ตอนแรกผมก็เฉยๆ แต่เมื่อทำไปสองปี ผมไม่สบายไปนอนโรงบาล บิลค่ารักษาประมาณ 5 หมื่น แต่เบิกได้เกือบหมด จ่ายแค่ พันกว่าบาท เลยคิดว่าคุ้มแล้วที่ทำ เพราะว่าไม่อย่างนั้นต้องเดือดร้อนมากๆเลย

จากคุณ : โชคดีที่คุณแม่ทำให้

ความคิดเห็นที่ 6 คห3-4ก็นี่ล่ะครับ
ที่ผมบอกว่า คนที่ไม่ชอบ ก็เพราะคิดแต่ว่า จะโดนเอาเปรียบและไม่ศึกษาข้อแม้ที่ไม่จ่าย ว่าทำไมถึงไม่จ่าย

-ถ้าบริษัทจ่ายให้ กับคนที่ ดื่มแอลกอฮอล์มาแล้วขับรถ คนกลุ่มนี้เสี่ยงอยุ่แล้วครับ
งันคนเมาขับรถ ชนเพื่อหวังเอาประกันจะมีเพิ่มอีกเท่าไหร่

-ถ้าจ่ายให้กับคนที่เป็นโรคร้าย ใกล้ตาย พอคนกลุ่มนี้รู้ตัวว่าจะตายแล้วมาทำประกันเพื่อหวังเงิน คนที่ใกล้ตาย ซัก 10 คนมาทำประกัน จ่ายเบี้ยไม่ถึงหมื่น แต่อีก ไม่ถึง6เดือน 10คนนี้ตายหมดบริษัทต้องจ่ายให้ คนละ1แสน 10คน ก็เป็น1ล้าน
ถามว่าบริษัทจะเอาที่ไหนมาจ่าย

-อายุ 70 ก็ถือว่า เสี่ยงที่เป็นทุพพลภาพและจะตายด้วยโรคชราอยุ่แล้ว ถ้าคนแก่อายุ 70-80 ทำประกัน 10คน พอถึงอีก1ปี 10คนนี้ ตายด้วยโรคชราหมด บริษัทก็ต้องจ่ายทุกคนถ้ารับทำประกัน เป็นเงินรวมๆกว่า 10เท่าของเบี้ยที่ได้ แบบนี้ บริษัทเอาที่ไหนจ่าย

บริษัทประกัน ก็เป็นเหมือนกับ ช่องทางในการระดมเงินจากประชาชนไปให้กับรัฐบาล เพื่อ พัฒนาประเทศ ช่องทางหนึ่งนั่นล่ะครับ เพราะ เบี้ยหลักๆทีได้มาบริษัทจะเอาไปลงทุนกับพันธบัตรรัฐบาล
เพราะฉะนั้น คนทำประกัน หรือกองทุน นั้น จะได้รับการลดหย่อนภาษี
ประเทษญี่ปุ่น หรือแถบอเมริกา รัฐบาลเค้ามีงบประมาณส่วนหนึ่งไปพัฒนาประเทศก็เงินจากประกันชีวิตนี่ล่ะครับ

เค้าปลูกฝังให้มีการทำประกันตั้งแต่ ยังเรียนเลย

จากคุณ : karamale

ความคิดเห็นที่ 7

ถ้ามีเงินเหลือผมจะทำ

จากคุณ : Stance

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยกับคหที่6 ครับขอเพิ่มเติมครับ
ผมคิดว่าประกันชีวิตน่าจะเป็นการสร้างพื้นฐานให้มั่นคงก่อน ที่จะไปลงทุนในสินค้าทางการเงินแบบอื่นๆ ครับ ประกันชีวิตเป็นสินค้าทางการเงินอีกแบบหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนไม่เหมือนแบบไหนอย่างหนึ่งคือให้ความคุ้มครองเรื่องของชีวิตและทุพพลภาพครับ และสวัสดิการต่างๆ เป็นการสะสมทรัพย์เหมาะกับ คนทุกเพศ ทุกวัย ทุกรายได้ ทุกช่วงชีวิตครับ เป็นระบบที่สอนให้คนรู้จักเก็บเงินครับ ช่วยให้เก็บเงินได้ครับ เป็นการลงทุนที่แทบไม่มีความเสี่ยงเลยผลตอบแทนจึงไม่มาก

ประกันชีวิตเ็ป็นดัชนีหนึ่งที่ดูว่าประเทศนั้นเจริญแึค่ไหนครับ อย่างญี่ปุ่นประชาชนของเขาทำประกันกันเกือบ 100% ทำไมเขาเห็นถึงความสำคัญครับ ประชาชนคนญี่ปุ่นเขาลงทุนไม่เป็นหรือครับ ทำไมเขาไม่ลงทุนในสินค้าทางการเงินอย่างอื่นล่ะครับที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ มาทำประกันฯกันทำไมผลตอบแทนนิดเดียวเขาคิดอะไรกันอยู่ เศรษฐกิจเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง ชีวิตความเป็นอยู่เขาเป็นอย่างไรครับ

ผมคิดว่าถ้าเราศึกษาระบบประกันฯ กันดีๆ น่าจะเข้าใจอย่างถูกต้องได้ข้อคิดหรือเห็นประโยชน์กันมากว่านี้นะครับ ส่งเบี้ยแบบสั้นๆ ปีเดียวก็มีครับ,ถอนคืนก่อนกำหนดได้กำไรก็มีครับ,ไม่มีเงินส่งก็สามารถกู้มูลค่าเงินสดออกมาจ่ายเบี้ยได้ก่อนครับ เกิดขัดสนไม่มีเงินใช้กู้กธ.ออกมาใช้ก่อนยังได้ดอกเบี้ยก็แสนถูกไม่ถึงบาทต่อเดือนคืนหรือไม่คืนก็ได้ไม่มีคนโทรไปทวงหนี้ให้เสียอารมณ์,ประกัน
แบบออมทรัพย์ก็มีระหว่างฝากมีเงินคืนให้ทุกปีก็มี ทุก2ปีก็มี ทุก3ปีก็มี ทุก5ปีก็มี เงินคืนและหรือเงินปันผลไม่ถอนออกฝากต่อไว้กับบริษัทฯได้ดอกเบี้ย2-6%(ทบดอกทบต้น)ไม่หักภาษีเหมือนกันแุถมนำไปลดหย่อนภาษีได้ทุกปีสูงสุดปีละ 100,000 บาท(หากปิดก่อนกำหนดไม่ต้องคืนภาษีที่ลดหย่อนไปด้วยครับ)

ผมกลับมองว่าการประกันชีวิตเป็นพื้นฐานที่สอนให้คนเก็บเงินเป็นครับมีน้อยก็เก็บน้อย มีเยอะก็เก็บเยอะครับ คนที่ทำประกันชีวิตส่วนมากเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลครับผมว่าเ้ค้าไม่ได้มองแต่ผลกำไรอย่างเดียวครับ เขามองตั้งแต่จุดเริ่มต้นหรือพื้นฐานจนถึงบั้นปลายชีวิตที่เดียวครับ

เคยได้ยินไหมครับว่าคนที่เป็นโรคบางโรคที่มันร้ายแรง เป็นแล้วมีโอกาสหายน้อยมาก หรือใช้ระยะเวลารักษายาวนาน ใช้เงินรักษามากมาย (ส่วนมากชอบเกิดกับคนมีเงินเยอะๆ )เช่นโรคมะเร็งเป็นต้น ใช้ระยะเวลารักษายาวนานครับ ใช้เงินรักษามากมายครับ บางคนเก็บเงินมากตั้งแต่สมัยทำงานหวังว่าวันหนึ่งตอนแก่จะได้มีเงินไว้กิน พออามุมากขึ้นเกิดป่วยเป็นมะเร็งกลับต้องเอาเงินเก็บ
ของตัวเองเอามรดกที่จะไว้ให้ลูกหลานมารักษาโรคร้าย เสียหมดบางครั้งไม่พอเสียด้วย อาจต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาเพื่อรักษา(ที่เขาเรียกโรคล้างโรคผลาญ)ยิ่งคนรวยส่วนมากนอนรพ.ถูกๆ ไม่เป็นเสียด้วย กว่าจะหาย(จากโลก)เสียเงินเป็นล้าน ก็มี)

หลักของประกันในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็คือ จ่ายให้เหมาะสม จำเป็น และตามเงือนไขค่ารักษาพยาบาลในรพ.มีหลายแผนขึ้นอยู่กับกำลังและความสามารถของลูกค้าถ้าอยากนอนห้อง
พิเศษ(ซึ่งอาจจะไม่จำเป็น)ก็ต้องเลือกแผนที่พิศษครับก็พอจะพอจ่ายค่าใช้จ่ายได้ หรืออาจจ่ายส่วนเกินแค่นิดหน่อย บริษัทฯประกันฯ จะพิจารณาจ่ายฯ ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันก่อนทำประกันครับ คงไม่คอยแต่จะบ่ายเีบี่ยงหรือเอาเปรียบลูกค้าเพื่อที่จะจ่ายน้อยๆ ครับอุบัติเหตุ พบแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดมากว่า 150 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์(เห็นเขาว่าขนาดนี้หมาเรียกพี่แล้วนะครับ) ตามหลักสากลถือว่าผิดกฏหมายครับ เป็นพิษต่อตัวเองและเป็นภัยต่อสังคมแบบนี้จะบอกว่าบริษัทฯ เอาเปรียบหรือครับ หาเรื่องไม่จ่ายหรือครับโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง ถ้าไม่มีประวัติมาก่อน หลังจาก 30 วันก็คุ้มครองแล้วครับไม่จำเป็นต้อง รอถึง 6 เดือน ประกันฯ มีมากมายหลายแบบครับ เดีี๋ยวนี้อายุ 70 ก็ยังทำได้อยู่ครับ บางแบบคุ้มครองชีวิตถึงอายุ 99 ปีก็มีครับ ทุกอย่างมีกฏระเบียบบริษัทฯ เขาว่ากันตามกฏระเบียบครับผมรับรองได้ว่า ถ้าท่านให้ความยุติธรรมไม่มีอคติ ค่อยศึกษาถามไถ่ผู้รู้(จริง) ท่านจะมีวิสัยทัศน์
กว้างไกล เห็นคุณค่าของประกันอีกเยอะครับ

จากคุณ : ตัวแทนประกันชีวิตอาชีพ ปีที่9 (winnerf14)

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบ คห.6บริษัทประกันตั้งขึ้นก็เพื่อหวังผลกำไร แต่ชอบสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีว่ามันดียังโง้นดียังงี้ ตัวแทนขายประกันก็ชอบมาตื้อให้ซื้ออยู่นั่นแหละ ถ้าใครสนใจจริงๆเขาก็เดินเข้าไปทำเองอยู่แล้วล่ะครับ เพราะงั้นผมถึงไม่ชอบระบบแบบนี้เท่าไหร่ครับ ลัทธิระกันก็ไม่ได้ดีไปกว่าลัทธิขายตรงสักเท่าไหร่เลยจริงไหมครับ ?

เอาเงินของคนหลายๆคนมาหมุน แล้วหาทางลดความเสี่ยงที่ทำยังไงจะสร้างเงื่อนไขฉลาดๆให้ตัวเองจ่ายน้อยที่สุด ถ้าไม่กินเหล้าก่อนขับรถ โอกาสเกิดอุบัติเหตุก็แทบจะเป็น 0 อยู่แล้ว (แบบนี้ทำไมไม่ออกกฏว่าคนที่ดื่มเหล้าทุกคนห้ามทำประกันล่ะ กลัวเสียลูกค้าหน้าโง่ใช่ไหม ?) ถ้าไม่แก่หงำเหงือก โอกาสตายด้วยโรคร้ายก็แทบจะเป็น 0 อีก แบบนี้ไม่ต้องทำแล้วล่ะครับ เพราะอะไรที่มันเสี่ยงๆก็ตั้งกฏให้ตัวเองไม่ต้องจ่ายแบบนี้น่ะ

จริงๆบริษัทระดมเงินได้เยอะก็น่าจะเอาจากคนที่ไม่เป็นอะไรเลยซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก (คนที่ต้องเคลมมีอยู่นิดเดียว) มาจ่ายให้คนที่เป็นหรือเกิดอุบบัติเหตุไงครับ

ประกันเป็นเรื่องของการฝากอนาคตไว้กับใครก็ไม่รู้ เวลาเกิดอะไรขึ้นมาเราจะเบิกได้หรือไม่ก็ไม่รู้

จากคุณ : . (LimitBreak)

ความคิดเห็นที่ 10

มีเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แฟนพี่ผมซื้อประกันกับผม และในวันนั้นตอนเย็นไปงานเลี้ยงเพื่อนเขา ซึ่งเพื่อนเขาคนนี้มีเงินเดือนเป็นแสนๆ และกำลังไปทำงานที่ต่างประเทศ หมายความว่าเงินเดือนจะมากขึ้นไปอีก ชายคนนี้ลงทุนทุกอย่าง ทั้งหุ้น ทอง กองทุน และประกันชีวิตทุนเป็นล้านๆ แฟนพี่ผมได้คุยกับเพื่อนอีกสองคนด้วย ซึ่งมีคนนึงสนใจทำ แต่บอกว่าไว้ก่อน เพราะว่าคงไม่เกิดอุบัติเหตุตอนนี้หรอก เพราะเหล้าไม้ดื่มจะเกิดอุบัติเหตุได้ไง(พูดเหมือนความคิดเห็นข้างบนเลย) อีกคนไม่สนใจทำ บอกว่า เอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ผลกำไรมากกว่าเยอะ(พูดเหมือนความคิดข้างบนอีกเหมือนกัน) หลังงานเลี้ยงเลิกทั้งสามคนนั่งรถกลับด้วยกัน ประสบอุบัติเหตุโดนรถสิบล้อเมาขับชน ตายคาที่ทั้งสามคนในคืนนั้น สิ่งที่คิดคือ คนข้างหลังได้อะไรจากการจากไปของทั้งสามคน คนที่จะได้ไปต่างประเทศ ลงทุนไว้มากมาย แต่เขาได้สอนคนข้างหลังของเขาไว้หรือเปล่าว่าเล่นหุ้นยังไง เล่นทองยังไง ลงทุนกับกองทุนอย่างไร แต่สิ่งที่ครอบครัวเขาได้ คือ เงินชดเชยหลายล้านจากลูกเขาที่ทำประกันชีวิต ในขณะที่พ่อแม่ของเพื่อนแฟนพี่ผมอีกสองคน คนนึงเป็นลูกคนเดียวพ่อแม่เลยไม่มีอะไรเหลืออีก ตั้งหน้าตั้งตาทำงานเลี้ยงชีพตัวเองยามแก่ต่อไป ส่วนพ่อแม่ของอีกคนมีลูกสองคน เรียนจบพอดี เลยไม่ลำบากมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ให้อุทาหรณืผมหลายๆอย่างมากเกี่ยวกับประกันชีวิต ผมตัดข่าวเรื่องนี้จากหน้าหนึงหนังสือพิมพ์ และนำไปเล่าให้ลูกค้าประกันผมฟังทุกคน(โดยเฉพาะกับคนที่ชอบบอกว่าไม่ประมาทไม่มีทางเกิดอุบัติเหตุ พวกที่ชอบบอกว่าเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นได้ผลประโยชน์มากกว่านี้เยอะ พวกที่ชอบบอกว่าเอาไว้ทำวันหลังไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดวันนี้หรอก)

จากคุณ : best insurance

ความคิดเห็นที่ 11ผมก็ทำไว้แล้วเมื่อปี 49 ครับ
จ่ายปีละ 20000 มากกว่านี้ไม่ไหวจากคุณ : naked eye
ความคิดเห็นที่ 13

ดีนะครับ
ผมเนี่ย โทรเรียกเพื่อนที่ขายประกันมาเสนอที่บ้านเลยทำกันทั้งบ้านเลย ตามกำลังทรัพย์และกรมธรรม์ที่เหมาะสม
มีประโยชน์มากครับ โดยเฉพาะตอนไม่สบายเข้ารพ.เอกชนพอบอกว่ามี ประกันบริษัท อ.อ.อ. แทบจะอุ้มเลยครับ บริการดี(กว่าปกส.)จ่ายเพิ่มเองไม่กี่พัน ได้รักษากับหมอดีๆ เอาใจใส่ดีครับ…

แต่ อย่ามาชวนผมขายประกันนะ
อันนี้ไม่ชอบเลยจริงๆ…ง่ะ….อิ อิ

จากคุณ : afood

ความคิดเห็นที่ 15

เพิ่ม เติม คห 9 ครับ

ลัทธิระกันก็ไม่ได้ดีไปกว่าลัทธิขายตรงสักเท่าไหร่เลยจริงไหมครับ ?

— ลัทธิประกันมันไม่ดีตรงไหนครับ
แล้วลัทธิขายตรงมันไม่ดีตรงไหนครับ

ประกัน คนดีๆมีเยอะแยะ ทุกสังคมก็มีไม่ดีบ้างเหมือนกัน
ประกัน ขายแบบตื้อก็มี ล็อกคอขายก็มี แนะนำดีๆก็มี
บางครั้ง คนมาขอทำประกันเองก็มี

ทุกคนมีบทบาทต่างกันครับ
ธุรกิจประกันก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนี่ครับ คนทำประกันก็ได้ในสิ่งที่ทดแทนรายได้ ทดแทนค่าใช้จ่าย มีเยอะแยะไป

ส่วนขายตรง
ระบบขายตรงมันก็เหมือนกับธุรกิจทุกที่ล่ะครับ แค่ให้สมาชิกทำการตลาดแล้ว เอางบที่จะโฆษณา หรือ ค่าส่วนต่าง จากพ่อค้าคนกลาง มาแบ่งให้กับสมาชิกตามรูปแบบต่างๆ
คนทำแบบถูกวิธีก็มี คนทำไม่ถูกก็มี ทำแบบมีจรรยาบรรณก็มี ไร้จรรยาบรรณก็มี

แต่ไม่ได้ว่า แย่ไปซะหมด

คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเอง แล้วใช้พื้นฐานความไม่เข้าใจส่วนตัว เป็นมาตรฐานแล้วคิดว่าไม่ดี เพราะ อย่างโน้นอย่างนี้

*** เปรียบง่ายๆกับ งานเซล นี่ล่ะ

ทำไมคนตั้งกระทู้ อยากเป็นเซลก็เยอะนักล่ะ

เพราะได้ค่าตอบแทนสูงใช่มั้ยครับ

ถ้าเซลไม่มีค่าคอม เค้าจะอยากเป็นรึป่าว

งานประกัน กับ ขายตรงก็เหมือนกันครับ
ถ้าไม่ได้ค่าคอม เค้าไม่ทำกันหรอก
ถ้าไม่สร้างองกร ทุกธุรกิจก็ไม่โตครับ
เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีค่าตอบแทนจากการให้นักธุรกิจ ไปขยายองกรด้วย คนถึงจะทำครับ

จากคุณ : karamale

ความคิดเห็นที่ 16

แทบจะเป็น 0 นะครับ ไม่ได้บอกว่าเป็น 0 (หรืออีกแง่นึงก็คือมีโอกาสเกิดน้อย อุบัติเหตุส่วนใหญ่กว่าครึ่งเกิดจากแอลกอฮอล์ครับ ช่วงสงกรานต์คนไข้อุบัติเหตุเพียบครับส่วนมากกินเหล้ากันเกือบทั้งนั้นแหละ) ผมว่าผมเขียนภาษาไทยเข้าใจง่ายแล้วนะเนี่ย

ผมไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ใครจะชอบก็ชอบไป คนที่ชอบส่วนมากก็เป็นคนที่เคยได้รับผลประโยชน์จากประกันหรือไม่ก็ขายประกันอยู่เอง จขกท. ถามความคิดเห็นของแต่ละคน ก็คงต้องมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว

ผมทำงานมา 9 เดือน เก็บเงินได้ 2 แสนกว่าๆ (เดือนนึงเก็บตังได้ 2 หมื่น) ถ้าออกไปทำเอกชนปีนึงสามารถเหลือเงินเก็บได้ไม่น้อยกว่า 7-8 แสนแน่นอน (แต่ยังอยากใช้ทุนให้ครบ 3 ปีอยู่) ดังนั้นผมเชื่อว่าผมไม่ต้องพึ่งพาประกันหรอกครับ หากผมเป็นอะไรไปตอนอายุสัก 40 ผมเชื่อว่าอย่างน้อยๆก็น่าจะมีเงินเก็บของผมสัก 5-6 ล้าน ไว้ให้กับทายาทและคนข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือลูกและภรรยา อยู่แล้วครับ ผมวางอนาคตที่มันเป็นไปได้สูงของตัวเอง (ไม่ใช่เพ้อฝัน ผมเชื่อว่าผมจะมีเงินเก็บไม่ต่ำกว่า 5 ล้าน ยามอายุ 40) และพยายามเก็บเงินให้ไปถึงตรงจุดนั้นอยู่ (ถึงเวลาก็คงต้องออกไปทำเอกชน มีเงินเดือนเป็นแสนรออยู่)

อีกอย่างนึงผมก็เป็นข้าราชการอยู่ (สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลอยู่แล้ว เป็นหัวหน้าฝ่ายอยู่ด้วย) สามารถเบิกได้โดยไม่ต้องพึ่งพาประกัน ไม่ต้องสำรองจ่ายด้วย (เบิกได้จ่ายตรง) หรือคนที่ไม่เป็นข้าราชการ เป็นประชาชนทั่วๆไป ก็ใช้สิทธิ UC (บัตรทอง) ในการรักษาพยาบาลได้ครับ ไม่เห็นต้องทำประกันตรงไหนเลย

ถ้าเราวางแผนการเงินดีๆ ใช้เงินให้เป็น เก็บเงินให้เป็น เราก็คงฝากอนาคตของตัวเองและครอบครัวไว้ที่มือของเราเอง โดยไม่ต้องยืมจมูกคนอื่น (ประกัน) หายใจไงครับ
แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 51 08:43:48

แก้ไขเมื่อ 25 เม.ย. 51 08:37:16

จากคุณ : . (LimitBreak)

ความคิดเห็นที่ 17

คนส่วนใหญ่คิดว่า จะตายตอนแก่ครับบังเอิญถ้าครอบครัว คนหนึ่ง ต้องการใช้เงิน ซัก เดือนละ 2หมื่นบาท
ในขณะที่ ผู้หารายได้หลักให้ครอบครัว มีเงินเก็บเดือนละ 2หมื่นบาท
แล้วอยู่ๆพรุ่งนี้ ผู้หารายได้หลัก ต้องตายไป ถามว่า คนที่อยู่จะทำยังไงครับคุณบอกว่า อายุ 40 มีเงินเก็บ 5ล้าน แต่พรุ่งนี้เกิด เหตุไม่คาดฝันล่ะ
คนในครอบครัวจะได้อะไรบ้าง ได้อย่างที่คิดรึป่าว

อย่าเดา หรือคิดเองว่า จะตายเมื่อไหร่

อุบัติเหตุเกิดได้ทุกวันครับ

**ผมถึงบอกว่า นักธุรกิจ หรือเจ้าของธุรกิจ จะเข้าใจประกันง่ายกว่า กลุ่มอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตกินเงินเดือนไงครับ

จากคุณ : karamale –

ความคิดเห็นที่ 18เมื่อวานดูข่าว เห็น เบ็คแฮม ประกันขา 2 ข้าง 2พันกว่าล้านบาทททท!! โหหห
แต่เค้าไม่สามารถ ขี่มอร์ไซ ขี่ม้า ได้นะ เพราะมันอยู่ในเงื่อนไขที่ต้องปฎิบัติตาม
เบ็คแฮมทำเงินปีปีนึงนี่เยอะมาก แต่มันก็ไม่แน่ถ้าเกินวันนึงขาเค้าใช้การไม่ได้ตลอดไป….

จากคุณ : กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ริมระเบียง

ความคิดเห็นที่ 19คุณ LimitBreak มั่นใจในชีวิตมากเลยนะครับ ว่ามันจะเที่ยง อย่างที่คิด

จากคุณ : 300D

ความคิดเห็นที่ 20

พอมีเงินเก็บ ถึง5ล้าน แล้วยังจะออกไป ทำงานเอกชน รับเงินเดือนแสนอยู่อีกนี่ล่ะครับ แนวคิด ลูกจ้าง

จากคุณ : karamale

ความคิดเห็นที่ 21

คนที่ตายก่อนอายุ 40 มันจะมีถึง 5 % ของประชากรทั้งหมดไหมล่ะครับ ใช่ครับหลายๆคนอาจจะตายก่อนอายุ 40 ก็ได้ แต่เปอร์เซนต์มันน้อยค่อนข้างเข้าใกล้ 0 ไงครับ แต่ที่แน่ๆคือถ้าเกิดวันไหนคุณตกงานไม่มีเงินจ่ายประกันล่ะก็ อะไรจะเกิดขึ้น (ประกันก็ฮุบเอาไปทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเท่านั้นเอง) โอกาสที่คนๆนึงจะตกงาน กับคนๆนึงจะตายเร็ว คุณว่าโอกาสไหนมันมีมากกว่ากันล่ะครับ แต่ถ้าชอบซื้อประกันนักเดี๋ยวผมแนะนำเพื่อนผมที่ขายประกันให้เอาไหมครับ แล้วก็อย่าปฏิเสธไม่ทำกันล่ะครับ เพื่อนผมเพิ่งสมัครเป็นตัวแทนของ AIA ผมจะเก็บเงินได้ 5 ล้าน ตอนอายุ 40 ก็ต่อเมื่อรีบออกไปทำเอกชนครับ แต่ถ้าอยู่รัฐบาลกว่าจะได้ 5 ล้านคงราวๆอายุ 45-50 แต่ยังไงเงินเก็บหลักนั้นมันไม่ได้ไกลเกินเอื้อมหรอกครับสำหรับฐานเงินเดือนราวๆ 3-5 หมื่นที่รับอยู่ทุกวันๆนี้และยังขึ้นไปได้ตามอายุราชการและตำแหน่งผมมีเป้าหมายในชีวิตและความพอเพียงครับ เงิน 5-10 ล้านมันอาจจะไม่เยอะสำหรับคนรวย แต่ผมเชื่อว่าเงินเก็บเท่านี้สามารถทำให้เราใช้ไปได้ทั้งชีวิตแล้วล่ะครับ เกินกว่านี้คือความไม่พอเพียงแล้ว

จากคุณ : . (LimitBreak)

ความคิดเห็นที่ 22

ที่คนไทยทำประกันกันน้อย ก็เพราะใช้วิธีการศึกษาโดยใช้ประสบการณ์ของคนอื่น ไม่ยอมเสียเวลาลงทุนศึกษาเองเพราะไม่รู้ว่ามันจะจำเป็นต้องรู้คุณ LimitBreak ครับ no heart feeling นะครับ สิ่งที่คุณเข้าใจ นั้นมันผิดครับ ที่ว่าเค้าจะยึดเงินทั้งหมด ผมอยากบอกแค่ว่า คนที่จำเป็นต้องทำประกันคือคนที่มีความรัก รักพ่อ รักแม่ รักเมีย รักลูก และรักตัวเอง ถ้าไม่มีความรักเหล่านี้ ประกันไม่จำเป็นครับ

จากคุณ : 300D

ความคิดเห็นที่ 23ถูกครับประกันไม่ได้ฮุบเงินไปซะหน่อย
ประกันแบบอออมทรัพย์ เค้าก็ คืนให้เมื่อถึงกำหนด
ประกันแบบตลอดชีพ ยังไงเบี้ยทั้งหมดที่ส่ง ก็ยังน้อยกว่า เงินที่จะได้เมื่อต้องตายไปตอนอายุ 70-80

คุณไปคิดแ่ต่ว่า ทำแล้วจะได้เงินจากประกันนี่ครับ
อยากได้ก็ชวนเพื่อนทำเยอะแล้วพรุ่งนี้ก้กอดคอตายกันหมดเลยดีมั้ยครับ
รับรอง บริษัทประกันจ่ายให้เยอะแน่ ไม่มีการเอาเปรียบ

คนตายก่อนอายุ40 มีให้เห็นกันทุกวันนี่ครับ ดุใน นสพ สิ
ตามงานวัดสิ คนตายก่อนวัยอันควรมีกันทุกวัน

อยู่ สาธารณสุขน่าจะรู้นะครับเรื่องแบบนี้ อุบัติเหต มันเลิกอายุเหรอครับ
ดารา เป้นคนส่วนในน้อยสังคมถูกต้องมั้ยครับ
แล้วดาราตายด้วยโรคมะเร็งไปกี่รายแล้ว แล้วคนทั่วไป ตายด้วยโรคมะเร็งแล้วไม่มีข่าวล่ะ จำนวนเท่าไหร่ คนเหล่านี้ เป็นตอนแก่รึยังครับ

ประกัน เป็นการประกันความเสี่ยงครับ ถ้าเกิด ถึงจ่าย ไม่เกิดก็ให้คืน

ถูกมั้ย

จากคุณ : karamale

ความคิดเห็นที่ 24ถ้าไม่กินเหล้าก่อนขับรถ โอกาสเกิดอุบัติเหตุก็แทบจะเป็น 0 อยู่แล้วคนไม่กินเหล้าเกิดอุบัติเหตุก็เยอะแยะนะคะ

เรื่องตายก่อนอายุ 40 ก็ ไม่ใช่ว่า % น้อยนะคะ

ตอนนี้สาเหตุการตายที่มีการเคลมอันดับ 1 มะเร็ง อันดับ 2 โรคหัวใจ อันดับ 3 อุบัติเหตุ
โอเคโรคหัวใจอาจจะเกิดกับคนอายุเลย 40 หรือคนอายุมากกว่านี้
แต่มะเร็งไม่เลือกอายุค่ะ
ลูกน้องของแฟน อายุ 25 เองเป็นมะเร็งสมองเสียชีวิตซะแล้ว

ประกันชีวิตถ้ามองเรื่องการลงทุนคงสู้การลงทุนแบบอื่นไม่ได้หรอกค่ะ

จากคุณ : GREMLINS

ขอขอบคุณ เว็บไซต์พันธ์ทิพย์ดอทคอม
http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6540344/B6540344.html