มารู้จักระบบการ “ออม” เพื่อเกษียณในภาพรวมของประเทศไทยกัน จะได้เห็นภาพว่าการที่ได้ออมกับกองทุนประกันสังคมนั้น เหมือนหรือแตกต่างจากระบบการออมอื่นอย่างไร
ระบบการออม |
ครอบคลุม |
ยอดเงินออมสะสม ณ สิ้นปี 2554 |
การออมภาคบังคับ |
||
กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (ไม่รวมเงินสำรอง) |
ข้าราชการ 1,200,000 คน |
385,000 |
กองทุนประกันสังคม (กรณีชราภาพ) | พนักงานเอกชน 10,000,000 คน |
744,000 |
การออมภาคสมัครใจ |
||
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ | พนักงานเอกชนและรัฐวิสาหกิจ 2,200,000 คน |
600,000 |
การซื้อประกันชีวิต (ยอดเงินลงทุนของบริษัทประกันชีวิต) |
กรมธรรม์ประกันชีวิต จำนวน 15,000,000 ฉบับ |
1,300,000 |
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) |
82,000 |
|
กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) |
128,000 |
|
รวม |
3,239,000 |
1. การออมภาคบังคับ ประกอบด้วย
· กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ครอบคลุมสมาชิกที่เป็นข้าราชการจำนวนประมาณ 1.2 ล้านคน และมีเงินสะสมประมาณ 385,000 ล้านบาท ข้าราชการที่เป็นสมาชิกกบข. จะถูกหักเงินสะสม 3% ของเงินเดือน รัฐบาล (ในฐานะนายจ้าง) จ่ายเงินสมทบให้อีก 3% รวมเป็น 6% เมื่อเกษียณจะได้รับ “บำเหน็จ” เป็นเงินก้อนจาก กบข. เท่ากับเงินสะสมและเงินสมทบข้างต้น บวกดอกผลจากการลงทุน (ในบางกรณีอาจจะได้เงินชดเชยและเงินประเดิมเพิ่มเติมด้วย)
· กองทุนประกันสังคม (กรณีชราภาพ) ครอบคลุมสมาชิกที่เป็นลูกจ้างในภาคเอกชน จำนวนประมาณ 10 ล้านคน มีเงินสะสมประมาณ 744,000 ล้านบาท ลูกจ้างจะถูกหักเงินสมทบ 3% ของเงินเดือน (เงินเดือนขั้นต่ำ 1,650 บาท – ขั้นสูง 15,000 บาท) นายจ้างสมทบให้อีก 3% รวมเป็น 6% เมื่อเกษียณหากสมทบมากกว่า 1 ปี แต่ไม่ครบ 15 ปี จะได้รับ “บำเหน็จ” เป็นเงินก้อนเท่ากับเงินสมทบของตนเองและของนายจ้างที่สะสมไว้บวกดอกผลจากการลงทุน หากสมทบตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจะได้รับ “บำนาญ” จ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีวิต
จะสังเกตได้ว่า จากจำนวนกำลังแรงงาน 35 ล้านคนนั้นมีผู้ที่อยู่ในระบบการออมภาคบังคับประมาณ 11 ล้านคน คือข้าราชการและลูกจ้างในภาคเอกชน เรียกกันว่าเป็นแรงงานในระบบ (Formal Sector)
2. การออมภาคสมัครใจ
มีไว้เพื่อรองรับผู้ที่ยังไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อวัยเกษียณภาคบังคับ แรงงานนอกระบบ (Informal Sector) หรือมีสวัสดิการดังกล่าว แต่ต้องการออมเพิ่มเติม ประกอบด้วย
· กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ครอบคลุมสมาชิกที่เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจและลูกจ้างในภาคเอกชนจำนวนประมาณ 2.2 ล้านคน มีเงินสะสมประมาณ 600,000 ล้านบาท โดยลูกจ้างสมัครใจให้หัก “เงินสะสม” และนายจ้างจ่ายเงินเข้าอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสมทบ” เมื่อเกษียณจะได้รับ “บำเหน็จ” เป็นเงินก้อนเท่ากับเงินสะสมและเงินสมทบข้างต้น บวกดอกผลจากการลงทุน
· การซื้อประกันชีวิต ปัจจุบันมีกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีผลบังคับจำนวน 15 ล้านฉบับ อาจจะอนุโลมได้ว่ามีผู้เอาประกันประมาณ 10-12 ล้านคน มียอดเงินออมที่เกิดจากการซื้อประกันชีวิตประมาณ 1,300,000 ล้านบาท (คำนวณจากเงินลงทุนของบริษัทประกันชีวิตทุกบริษัทในระบบ) การซื้อประกันชีวิตเป็นการส่งเสริมให้ผู้ซื้อกรมธรรม์ออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณโดยมีการกำหนดให้ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันตามระยะเวลาที่กำหนด หลังจากนั้นสามารถหยุดส่งเบี้ยประกัน โดยได้รับความคุ้มครองชีวิตต่อไปและทยอยได้รับเงินคืนในอนาคตสามารถเลือกแบบกรมธรรม์ที่จ่ายผลประโยชน์เมื่ออายุถึงวัยเกษียณได้
· กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund หรือ RMF) เป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ส่งเสริมให้เกิดการออมเงินระยะยาวเพื่อวัยเกษียณ โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่มีข้อแม้ว่า (1) ต้องสะสมเงินอย่างต่อเนื่องโดยซื้อหน่วยลงทุน RMF ไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง (2) ต้องลงทุนขั้นต่ำ 3% ของเงินได้ในแต่ละปี หรือ 5,000 บาทแล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า (3) ต้องไม่หยุดซื้อหน่วยลงทุนเกินกว่า 1 ปี ติดต่อกันและ (4) ขายคืนหน่วยลงทุนเมื่อผู้ลงทุนมีอายุไม่ต่ำกว่า 55 ปี และลงทุนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี ณ สิ้นปี 2554 มียอดเงินออมในกองทุน RMF ประมาณ 82,000 ล้านบาท
· กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund หรือ LTF) เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้นเพื่อส่งเสริมให้เกิดการออมเงินระยะยาว ถึงแม้ว่า LTF จะไม่มีข้อบังคับเรื่องอายุ 55 ปีเหมือน RMF แต่การส่งเสริมให้เกิดการลงทุนระยะยาวก็ทำให้ถือได้ว่า LTF เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการออมเพื่อเกษียณเช่นเดียวกัน โดยผู้ลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีแต่มีข้อแม้ว่า (1) ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทินและ (2) สามารถลงทุนได้สูงสุด 15% ของเงินได้ในแต่ละปีแต่ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท ณ สิ้นปี 2554 มียอดเงินออมในกองทุน LTF ประมาณ 128,000 ล้านบาท
จากข้อมูลข้างต้น สรุปได้ว่า คนไทยมีเงินออมเพื่อเกษียณรวมกันประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
ระบบการออมทั้งหมดข้างต้น นอกจากจะถูกออกแบบไว้เพื่อส่งเสริมให้เกิดการออมเงินในขณะที่ยังมีรายได้ เพื่อให้มีเงินใช้ในยามเกษียณแล้ว ยังมีลักษณะคล้ายกันอีกอย่างหนึ่งคือเงินที่ออมหรือสะสมเข้ากองทุนต่างๆ เหล่านี้ได้รับการยกเว้นภาษี (อาจจะมีเพดานในบางกรณี) และเมื่อเกษียณ ผลประโยชน์ที่ได้รับก็ได้รับการยกเว้นภาษีเช่นกัน
ขอบคุณที่มา วารสารประกันสังคม ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 เดือนกุมภาพันธ์ 2555 โดยคุณวิน พรหมแพทย์
No Comment