ถ้าเราอยากเก็บเงินซักก้อน เราจะเลือกใช้วิธีออมเงินแบบไหนดี จะฝากธนาคาร ซื้อกองทุน หรือซื้อประกันชีวิต หลายคนสับสนว่าจะเลือกออมเงินแบบไหนเหมาะสมที่สุด จริงๆ แล้ว แต่ละวิธีมีจุดเด่นแตกต่างกัน คงไม่สามารถบอกได้ว่าควรเลือกวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ควรแบ่งออมหลายๆ วิธี ตามความเหมาะสม เรามีขั้นตอนดีๆ มาให้ท่านใช้เป็นแนวคิดก่อนจะเลือกออมเงิน
Step 1 : ตั้งเป้าหมาย
Step 2 : จัดสัดส่วนเงินออม
Step 3 : แบ่งเงินออมตามวิธีออมต่างๆ
1. ตั้งเป้าหมายก่อนว่าจะออมเพื่ออะไร และจัดสัดส่วนเงินออมให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเรามีครอบครัวแล้ว การวางแผนการออมต้องคิดถึงลูกมากขึ้น และต้องไม่ลืมวางแผนให้ตัวเองด้วย เช่น ถ้าเรามีรายได้เดือนละ 100,000 บาท แบ่งเป็นเงินออมเดือนละ 25% คือ 25,000 บาท
จากเงินออม 25,000 บาท แบ่ง 40% มาออมเพื่อเป็นทุนการศึกษาลูก คือ 10,000 บาท และแบ่งอีก 40% มาออมเพื่อการเกษียณ คือ 10,000 บาท และอีก 20% คือ 5,000 บาท ออมเพื่อเป็นเงินสำรองยามฉุกเฉิน
ถ้าเราแบ่งเงินออมได้แบบนี้ ใน 1 ปี เราจะสามารถออมทุนการศึกษาให้ลูกได้ปีละ 120,000 บาท และออมเพื่อเตรียมตัวเพื่อการเกษียณอีกปีละ 120,000 บาท
2. เลือกวิธีการออมที่เหมาะสมกับแต่ละเป้าหมาย
1. ออมเพื่อเป็นทุนการศึกษาลูก การศึกษาของลูกเป็นสิ่งสำคัญมาก การเลือกวิธีออมเงินที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก เราแนะนำให้ออมโดยการซื้อประกันเพื่อการศึกษา 70% และซื้อกองทุนอีก 30% ด้วยเหตุผลที่การออมเพื่อการศึกษาไม่ควรมีความเสี่ยงมาก ความมั่นคงของการฝากเงินเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การออมด้วยประกันชีวิตมีความเสี่ยงต่ำ และยังมีความคุ้มครองชีวิตผู้ชำระเบี้ย (ซื้อ ผช เพิ่มเติม) ซึ่งคุณมั่นใจได้ว่าแม้จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับคุณ การศึกษาของลูกก็ไม่สะดุด และซื้อกองทุน 30% เพื่อเพิ่มผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับในความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วย
2. ออมเพื่อเตรียมตัวเกษียณ การเตรียมตัวเพื่อการเกษียณเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องวางแผน เพราะเมื่อไม่สามารถทำงานได้ ใครจะเลี้ยงเรา เราต้องเตรียมเงินออมไว้ให้เพียงพอที่จะดูแลค่าใช้จ่ายของตัวเองได้ เราแนะนำว่า 50% ควรนำไปซื้อกองทุน และอีก 50% ซื้อประกันชีวิตเพื่อการเกษียณ ด้วยเหตุผลที่ว่า การซื้อกองทุนเพื่อการเกษียณ (LTF/RMF) ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ และเมื่อครบกำหนด ถ้าผลตอบแทนยังไม่น่าพอใจ เราก็สามารถรอระยะเวลาจนผลตอบแทนดีขึ้นได้ ในขณะที่ประกันชีวิตเพื่อการเกษียณมีความมั่นคงสูง ผลตอบแทนที่ได้แน่นอน สามารถนำเบี้ยที่จ่ายมาลดหย่อนภาษีเงินได้ส่วนบุคคลได้ และยังเลือกได้ทั้งบำเหน็จหรือบำนาญ และข้อสำคัญคือประกันชีวิตยังคุ้มครองชีวิตของเรา กรณทีเีกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เราจะมั่นใจได้ว่าครอบครัวจะมีเงินก้อนใช้ปรับตัวได้ระยะหนึ่ง ถ้าเราออมเงินด้วยทั้ง 2 วิธีนี้อย่างละครึ่งจะช่วยให้เรามีทั้งความมั่นคง และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นด้วย
3. ออมไว้ใช้ยามฉุกเฉิน การออมเงินเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน มีความจำเป็นสำหรับทุกครอบครัว เพราะบางทีเราอาจต้องใช้เงินโดยไม่ได้วางแผนไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วยกระทันหัน หรือมีการหยิบยืมจากญาติพี่น้อง 80% ของเงินออมยามฉุกเฉิน แนะนำให้ฝากธนาคาร เพื่อความคล่องตัว สามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ตลอดเวลา และอีก 20% นำไปซื้อประกันที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นยามฉุกเฉิน เช่น ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ หรือประกันโรคร้ายแรง เพื่อให้เราไม่ต้องดึงเงินฝากในธนาคารมาใช้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเหล่านี้ขึ้น
อาจจะมีบางท่านบอกว่าไม่มีลูกหรือไม่มีครอบครัว แล้วส่วนที่เราแนะนำว่าให้ออมเพื่อเป็นทุนการศึกษาถึง 40% จะเอาไปทำอะไรดี เราแนะนำว่า ท่านก็นำมาออมให้ตัวเอง อาจแบ่ง 20% มาออมในส่วนเพื่อการเกษียณ และอีก 20% มาออมเพื่อใช้จ่ายยามฉุกเฉิน โดยอาจนำมาซื้อประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น เพราะต้องดูแลตัวเอง และสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้เราอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี
No Comment